กล้องถ่ายภาพความร้อน

กล้องถ่ายภาพความร้อน หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อกล้องเทอร์โมกราฟี (Thermal Camera / Thermography Camera) คืออุปกรณ์ที่ใช้เซนเซอร์อินฟราเรด (Infrared Sensor) ตรวจจับพลังงานความร้อนจากพื้นผิวหรือวัตถุต่าง ๆ แล้วแสดงผลออกมาในรูปแบบของภาพสีที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยแสดงความแตกต่างของอุณหภูมิเป็นระดับสี เช่น สีแดงส้มสำหรับจุดร้อน และสีน้ำเงินสำหรับจุดเย็น เป็นต้น

ต่างจากกล้องถ่ายภาพทั่วไปที่ใช้แสงที่ตามนุษย์มองเห็นได้ (Visible Light) กล้องถ่ายภาพความร้อนสามารถมองเห็นสิ่งที่เราตาเปล่ามองไม่เห็น เช่น จุดความร้อนที่ผิดปกติภายในตู้ไฟฟ้า รอยรั่วของท่อส่งน้ำร้อน หรือแม้แต่ความชื้นสะสมในผนังบ้าน

กล้องถ่ายภาพความร้อนเหมาะกับใคร?

กล้องชนิดนี้มีความหลากหลายในการใช้งาน จึงเหมาะกับทั้งกลุ่มช่าง ช่างเทคนิค วิศวกร และแม้แต่นักตรวจสอบบ้าน โดยใช้งานหลัก ๆ ได้ดังนี้:

ตรวจสอบระบบไฟฟ้า: หาจุดร้อนในตู้คอนโทรล เบรกเกอร์ และสายไฟ
ตรวจสอบเครื่องจักร: หาจุดเสียดสีหรือลูกปืนที่เริ่มร้อนผิดปกติ
ตรวจบ้านและอาคาร: ตรวจหารอยรั่วซึม ความชื้นสะสม ความร้อนสะสมใต้หลังคา
งาน HVAC: ตรวจสอบระบบทำความเย็น ตรวจหารอยรั่วน้ำยา
งานวิจัยหรือทดลองทางวิทยาศาสตร์: ตรวจการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างละเอียด

5 สิ่งที่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อกล้องถ่ายภาพความร้อน

เพื่อให้ได้กล้องที่เหมาะสมกับลักษณะงานของคุณ ควรพิจารณาจากคุณสมบัติต่อไปนี้:

ความละเอียดของภาพอินฟราเรด (IR Resolution): ความละเอียดของเซนเซอร์มีผลต่อความคมชัดของภาพ ตัวเลขเช่น 80x60, 160x120 หรือ 320x240 หมายถึงจำนวนพิกเซลที่ตรวจจับความร้อนได้ ยิ่งสูง ภาพยิ่งละเอียด และเห็นรายละเอียดของวัตถุได้ชัดเจนขึ้น

NETD (Noise Equivalent Temperature Difference): เป็นค่าความไวในการตรวจจับอุณหภูมิ ยิ่งต่ำ ยิ่งสามารถตรวจจับความต่างของอุณหภูมิเล็กน้อยได้ดี ตัวเลขที่ดีควรอยู่ต่ำกว่า 100 mK (0.1°C)
ช่วงวัดอุณหภูมิ (Temperature Range): ควรเลือกให้เหมาะกับงาน เช่น ถ้าใช้ตรวจอุปกรณ์ไฟฟ้า ทั่วไปอาจต้องการวัดได้ถึง 150°C แต่หากใช้กับงานอุตสาหกรรมหนัก อาจต้องการช่วงวัดถึง 400°C หรือมากกว่า
ฟังก์ชันเสริม เช่น MSX®, Wi-Fi, Cloud: เทคโนโลยีอย่าง MSX® จะช่วยรวมภาพจริงกับภาพความร้อน ทำให้เห็นรายละเอียดพื้นผิวชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนการเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือ Cloud ทำให้สามารถจัดเก็บและส่งข้อมูลได้สะดวกขึ้น
ความสามารถในการถ่ายภาพพร้อมข้อมูลความร้อน (Radiometric): กล้องบางรุ่นสามารถบันทึกภาพที่มีข้อมูลอุณหภูมิในทุกจุด (Radiometric JPEG) ทำให้สามารถวิเคราะห์ย้อนหลังได้ภายหลังจากถ่ายภาพไปแล้ว

กล้องถ่ายภาพความร้อนแต่ละรุ่นมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น FLIR C3-X หรือ C5 จะเหมาะสำหรับงานตรวจสอบบ้าน หรือไฟฟ้าทั่วไป เนื่องจากพกพาง่าย มีหน้าจอสัมผัส และเชื่อมต่อ Cloud ได้ ในขณะที่รุ่นความละเอียดสูงเช่น FLIR E8 Pro หรือ T540 จะเหมาะกับงานตรวจสอบเชิงลึกในโรงงานหรือสายการผลิต

ประโยชน์หลักของกล้องถ่ายภาพความร้อน

ป้องกันความเสียหายก่อนเกิดขึ้นจริง ช่วยลด Downtime
เพิ่มความปลอดภัยในงานไฟฟ้า
วินิจฉัยปัญหาเครื่องจักรได้โดยไม่ต้องหยุดการทำงาน
ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง
ตรวจสอบจุดรั่วซึมหรือความชื้นได้แม่นยำโดยไม่ต้องรื้อโครงสร้าง

สรุป: เลือกกล้องที่ใช่ให้เหมาะกับงานของคุณ

การเลือกกล้องถ่ายภาพความร้อนไม่ใช่เพียงดูที่ราคา แต่ควรพิจารณาจากลักษณะงาน ความแม่นยำที่ต้องการ และสิ่งแวดล้อมที่ต้องใช้งานด้วย หากคุณต้องการใช้งานเบื้องต้น เช่น ตรวจตู้ไฟ หรือระบบแอร์ กล้องรุ่นเริ่มต้นอาจเพียงพอ แต่หากต้องวิเคราะห์ความร้อนเชิงลึก หรืองานอุตสาหกรรมที่ซับซ้อน แนะนำให้เลือกกล้องความละเอียดสูงที่รองรับการวิเคราะห์แบบ Radiometric